Solopreneur ฉันนี่แหละประธานบริษัท รีวิวหนังสือการเริ่มต้นธุรกิจคนเดียว ที่จะเปลี่ยนจากฟรีแลนซ์ธรรมดาเป็นเจ้าของธุรกิจคนเดียว ซึ่งหนังสือเล่มนี้จะพาไปค้นพบความจริงของการทำธุรกิจคนเดียวอย่างไร ให้มีความสุข มั่นคง และก้าวหน้าได้
Solopreneur ธุรกิจคนเดียว คือธุรกิจที่จัดการ บริหารธุรกิจ ได้ด้วยตัวคนเดียว โดยไม่จำเป็นต้องมีพาร์ทเนอร์ หรือลูกจ้าง ก็ถือว่าเป็นธุรกิจคนเดียว ส่วนมากมักจะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริการ ก้าวเหนือมากกว่าฟรีแลนซ์ไปอีกขั้น
ต้องบอกก่อนว่าส่วนตัวเห็นหน้าปกและคำโปรยของหนังสือเล่มนี้ก็แทบจะควักเงินจ่ายทันที ให้ความรู้สึกที่อยากอ่านมาก ๆ เนื่องจากตัวเองนั้นกำลังดำเนินธุรกิจด้วยตัวคนเดียวมาเป็นระยะเวลาเกือบ 1 ปีแล้ว ซึ่งแน่นอนจากที่เมื่อก่อนทำงานประจำและทำงานเสริมไปด้วย จนปรับตัวมาเป็นฟรีแลนซ์ และปัจจุบันนี้ทำธุรกิจด้วยตัวคนเดียว ก็เรียกว่าเข้าข่าย Solopreneur เลยทำให้อยากรู้ว่าต้องมีอะไรที่เราต้องการรู้อีกบ้าง เลยมาสรุปบางส่วนของหนังสือ Solopreneur ฉันนี่แหละประธานบริษัท ให้กับคนที่ต้องการจะมาเป็นเจ้าของธุรกิจ
จุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจคนเดียว

ยุคสมัยเปลี่ยนไป เรามีเครื่องมือสำหรับการทำงานมากขึ้น มีอาชีพใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา เกิดไวรัส COVID-19 ระบาดขึ้น ทำให้หลายธุรกิจต้องปรับตัว ทำงานแบบ Remote Work หรือ Work Form Home มาขึ้น ทำให้หลายคนได้คือว่า ไม่จำเป็นต้องไปบริษัทก็ทำงานได้
อีกอย่างคือแนวโน้มการเป็นฟรีแลนซ์สูงขึ้น ในหนังสือ Solopreneur ฉันนี่แหละประธานบริษัท อ้างอิงว่าในสหรัฐอเมริกามีฟรีแลนซ์ราว 38% จากคนที่ทำงาน ส่วนในญี่ปุ่นมีอยู่ราว 5% และหลายคนก็ได้ก้าวข้ามจากฟรีแลนซ์และเริ่มทำธุรกิจคนเดียวด้วย
ในหนังสือกล่าวว่าการเริ่มต้นของธุรกิจคนเดียวนั้น ไม่แนะนำให้ลาออกมาทำเองเลย แต่แนะนำให้ทำงานประจำควบคู่กับงานเสริมไปด้วย เพราะอยู่ดี ๆ ก็ลาออกมาไม่มีใครการีนตีว่าจะประสบความสำเร็วได้ในทันที แต่เมื่อเราทำงานเสริมกับงานประจำไปด้วย ถึงแม้เราจะทำงานหนักขึ้น แต่ด้วยการทำงานเสริม ก็มักจะเป็นงานที่เราชื่นชอบ อาจจะเกี่ยวข้อง หรือไม่เกี่ยวกันเลยกับงานประจำเลยก็ได้ เป็นการใช้ความรู้เฉพาะทางของเราให้เป็นประโยชน์ อีกทั้งขึ้นชื่อว่าเป็นธุรกิจคนเดียว แต่ไม่จำเป็นต้องทำคนเดียว
ต้องบอกเลยว่าสำหรับประสบการณ์ส่วนตัวเริ่มมาจากแบบนี้เป๊ะตามในหนังสือเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากผู้เขียนบทความนี้เริ่มทำงาน Digital Marketing มาตั้งแต่ปี 2016 และได้เริ่มทำงานเขียนบล็อกให้ความรู้ในเว็บไซต์ digitalbreaktime.com มาตั้งแต่ปี 2019 และเริ่มรับงานเสริมเจ้าแรกตั้งแต่ปี 2021 ซึ่งทั้งหมดนี้ทำงานประจำไปด้วย ซึ่งตอนแรกไม่ได้วางแผนได้เลยว่างานเสริมนั้นจะมาแทนงานหลักได้ เพราะมีลูกค้าเพียงเจ้าเดียว จากนั้นก็มีลูกค้าที่เป็นงานเสริมเข้ามาเรื่อย ๆ จากเว็บไซต์ที่เราทำไว้ และลูกค้าที่บอกต่อ ๆ กันมา ทำให้ช่วงปลายปี 2022 ได้ตัดสินใจลาออกจากงานประจำ เนื่องจากว่าตอนนั้น รายได้จากงานเสริมมากกว่างานประจำไปแล้ว 3 เท่า และมีลูกค้าที่ใช้บริการต่อเนื่องนานเกิน 1 ปี ทำให้เราค่อนข้างมั่นใจได้ว่า ลาออกจากงานประจำมาแล้ว เราจะยังมีรายได้เรื่อย ๆ ซึ่งจนถึงปัจจุบันนี้ ก็ได้ทำธุรกิจคนเดียวเหมือนที่หนังสือเล่มนี้ได้เล่าตามขั้นตอนที่ว่าไว้ ก็คิดว่าตอนนั้นได้ตัดสินใจสิ่งที่ยากพอสมควร แต่ก็คิดแล้วว่าเป็นสิ่งที่เราได้เลือกแล้ว
ความแตกต่างระหว่างฟรีแลนซ์ และธุรกิจคนเดียว ในหนังสือ Solopreneur ฉันนี่แหละประธานบริษัท

อีกทั้งธุรกิจคนเดียวนั้น เป็นธุรกิจที่เน้นการนำเสนอ และความเชื่อใจระหว่างลูกค้าและเราเป็นหลัก ซึ่งการนำเสนอเมื่อลูกค้าเชื่อใจจะซื้อหรือไม่ก็ได้ แต่มีโอกาสที่จะขายได้มากขึ้น ถ้าลูกค้าเชื่อใจ แต่ต่างจากฟรีแลนซ์ ซึ่งทำงานแบบรับคำสั่ง และทำตามที่สั่งเท่านั้น ทำให้ธุรกิจคนเดียวมีโอกาสเติบโตได้มากกว่าการเป็นฟรีแลนซ์
ในหนังสือเล่มนี้ไปบอกไว้ว่า ไม่ว่าใครก็สามารถเริ่มทำธุรกิจคนเดียวได้ ตั้งแต่คนที่อยากให้ประสบการณ์การทำงาน ความรู้เฉพาะทางให้เป็นประโยชน์ หรือคนที่มีความชอบ ความถนัดในบางสิ่งบางอย่าง ก็สามารถทำได้ เพียงแต่อาจจะมีเหตุผลที่แตกต่างกันไป
ธุรกิจคนเดียว ไม่ได้แปลว่าต้องทำคนเดียวทั้งหมด สามารถกระจายงานให้คนอื่นได้

เห็นชื่อขึ้นว่าธุรกิจคนเดียว แต่ไม่ได้ต้องทำคนเดียวเสมอไป เพราะว่าอย่างน้อยต้องมีทีม แต่ทีมของเราจะไม่ใช่ลูกจ้างอย่างบริษัทโดยทั่วไป แต่อาจจะเป็นเพื่อนหรือคนที่เคยร่วมงานด้วย ทั้งหมดนี้เป็นการรวมตัวกันอย่างเป็น Community ความสัมพันธ์แบบนี้ต่างได้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน เนื่องจากธุรกิจที่ทำด้วยตัวคนเดียวจะเกิดจากความเชี่ยวชาญงานด้านใดด้านหนึ่ง หรือที่รู้จักกันว่าเป็น Specialist เมื่อเราทำทั้งหมดคนเดียวก็จะเหนื่อยมาก และการขยายโอกาสการเติบโตธุรกิจก็ช้า
แต่ถ้าร่วมมือกับทีมที่เป็น Specialist เหมือนกัน แต่เป็นคนละด้าน ก็จะเพิ่มโอกาสการเติบโตได้มาก ขยายงานให้มากขึ้น ทั้งสินค้าและบริการ ก็จะกลายเป็น Generalist ได้ ที่จะช่วยให้เราบริหารทีม และบริหารงานได้ออกมาประสิทธิภาพมากขึ้น เหนื่อยน้อยลง แต่ได้งานมากขึ้น อย่าลืมว่า “ธุรกิจคนเดียว ต้องไม่ทำคนเดียว”
ยกตัวอย่างเช่นส่วนตัวเอง ผู้เขียนบทความนี้ทำ Digital Marketing เป็นหลัก ทำธุรกิจคนเดียวอยู่ ส่วนมากนเน้นกว่าวางแผนและทำโฆษณาออนไลน์ โดยผ่านเครื่องมือไม่ว่าจะเป็น Facebook Ads, TikTok Ads, Google Ads, Shopee Ads, Lazada Ads แต่ในบางกรณีลูกค้าก็ต้องทำครีเอทีฟ วิดีโอ บล็อกบทความ หรือเว็บไซต์เพิ่มเติม ผู้เขียนเองถึงจะทำบางอย่างได้อยู่แล้ว (เช่นการเขียนบทความ) แต่เราก็ควรจะกระจายงานออกไป เพื่อไม่ให้งานตัวเองหนัก ก็จะมีทีมงานพร้อมดูแลที่ทำงานส่วนตรงนี้ให้ และเราเป็นเหมือนผู้ตรวจสอบงานว่าตรงตามบรีฟหรือไม่ คุณภาพได้หรือเปล่า ส่งตรงตามเวลาไหม จากนั้นเมื่องานผ่านคุณภาพแล้วจึงส่งให้ลูกค้า งานก็จะไม่มาหนักที่เราจนเกินไปนั่นเอง
อย่าลืมหาลูกค้า ทำโฆษณา และเสนอขาย

สิ่งที่ยากสำหรับธุรกิจคนเดียว นั่นคือการหาลูกค้า ซึ่งในหนังสือนั้นได้กล่าวว่าวิธีการที่ดีที่สุด ก็คือการให้คนช่วยแนะนำนั่นเอง (ส่วนตัวผู้เขียนบทความนี้ค่อนข้างเห็นด้วยทั้งสินค้าและบริการ) การให้คนอื่นช่วยแนะนำทำได้หลายวิธี แต่ถ้าเป็นลูกค้ารายแรก ๆ คือการให้เพื่อนสัก 5 คนช่วยแนะนำให้ จะช่วยเห็นผลได้มาก และถ้ามีเพื่อนเป็น Key Person (คนที่มีชื่อเสียงในระดับหนึ่ง เช่นอาจจะเป็น Influencer ก็ได้) ก็จะเห็นผลดียิ่งขึ้นไปอีก จริง ๆ ในหนังสือบอกวิธีการหาลูกค้าไว้เยอะมาก ๆ เรียกได้ว่าเอาไปใช้จริงได้เลย
แล้วก็อย่าลืมเรื่องสื่อของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ บล็อก Social Media อย่าง Facebook, Instagram, YouTube, TikTok รวมไปถึงการจัดเก็บรายชื่อลูกค้าโดยใช้อีเมล์ลิสต์ ซึ่งทั้งหมดนี้อาจจะดูเยอะมาก เราต้องทำทั้งหมดนี้คนเดียวเลยหรือ แต่ให้เราเลือกสิ่งที่ตัวเองถนัดหรือชอบทำจะเหมาะกว่า และก็จะทำได้นาน ใครที่ถนัดงานเขียนก็อาจจะสร้างเว็บไซต์ ทำบล็อก และเขียนบน Facebook ใครที่ถ่ายรูปสวย ๆ แนะนำให้ไปที่ Instagram ใครมีทักษะงานด้านวิดีโอก็ไปที่ TikTok, YouTube
เพราะอย่าลืมว่าสื่อของตัวเอง เป็นสื่อที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงนัก (เมื่อทำเอง) แต่ต้องใช้เวลา อะไรที่ให้ระบบ Automation ทำได้ก็ควรให้ระบบอัตโนมัติทำบ้าง
ส่วนเรื่องของการโฆษณา โดยเฉพาะโฆษณาออนไลน์ ในหนังสือได้กล่าวไว้ว่าการทำโฆษณาออนไลน์ด้วยตัวเองก็สามารถทำได้ ถ้าใช้งบไม่มากนัก แต่เมื่อต้องจริงจัง ให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน Digital Marketing เป็นผู้จัดการดีกว่า เพราะคนที่ทำงานทางด้านนี้มีความรู้มีทักษะ ที่จะช่วยจัดการงบประมาณให้อยู่ในงบที่ต้องการ และทำโฆษณาให้มีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ทั้งคนว่าจ้าง และการที่จะได้ลูกค้ามา ของพวกนี้มีรายละเอียดค่อนข้างมาก ถ้าคนที่ทำธุรกิจคนเดียวมาใช้เวลากับทางนี้หมด อาจทำให้เหลือเวลาน้อยลงในการทำงานด้านอื่น ๆ ให้ผู้เชี่ยวชาญจัดการงานด้านนี้แล้วรอดูผลลัพธ์ดีกว่า (แน่นอนผู้เขียนบทความนี้ทำงานด้าน Digital Marketing โดยตรง ไม่ได้อยากจะเข้าข้างตัวเองที่ทำอาชีพนี้อยู่ แต่ก็เห็นด้วยมาก ๆ)
การบริหาร และการเงินเป็นสิ่งสำคัญ

เรื่องการเงินเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ สำหรับการทำธุรกิจคนเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแยกประเป๋าเงินส่วนตัวกับเงินสำหรับธุรกิจให้แยกขาดออกจากกัน เปิดคนละบัญชีไปเลยก็ได้ สามารถทำได้ทันที ไม่ว่าคุณจะจดบริษัทหรือไม่ก็ตาม เพราะเป็นพื้นฐานที่จะช่วยแยกรายได้ รายจ่าย จากทั้งส่วนตัวและธุรกิจออกจากกัน ทำให้เรารู้ว่าธุรกิจคนเดียวที่เราทำมีกระแสเงินสดเข้ามาเท่าไร มีรายจ่ายเท่าไร กำไรเท่าไร
ส่วนการบริหารนั้นจะเริ่มต้นในแบบบริษัทดีหรือไม่ อย่าลืมว่า “ไม่ต้องรีบร้อน และไม่สร้างภาพ” กล่าวง่าย ๆ คือให้ธุรกิจสร้างกำไรสุทธิอยู่ที่ราว 7-8 ล้านเยนต่อปี แล้วค่อยทะเบียนบริษัทก็ยังไม่สาย (ถ้าเทียบเป็นเงินไทยก็คงได้กำไรราว 1,700,000 บาทต่อปี) แต่สำหรับไทยในไทยนั้นบริบทค่อนข้างต่างกัน ในไทยถ้าทำธุรกิจ และรายได้ (ย้ำอีกทีว่ารายได้ ไม่ใช่กำไร) เกิน 1.8 ล้านบาทในปีนั้น ๆ ก็ต้องจด VAT หรือจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (จดได้ทั้งในรูปแบบบุคคลและบริษัท)
ซึ่งใจความสำคัญก็คือ ให้รายได้และกำไร ค่อนข้างทรงตัวในระยะหนึ่งก่อน และเมื่อมีแนวโน้มที่จะทำกำไรและรายได้สูงขึ้นถึงค่อยจดบริษัท เนื่องจากการทำในรูปแบบบริษัทก็จะมีค่ายใช้จ่ายสูงขึ้น บางอย่างก็จะเป็นรายจ่ายถาวรเมื่อเทียบกับบุคคลธรรมดา อะไรที่ประหยัดได้ก็สามารถทำได้ แต่ก็อย่าลืมว่าเมื่อรายได้ถึงจุดหนึ่ง อัตราภาษีของบริษัท SMEs ในไทยนั้นต่ำกว่าในรูปแบบบุคคลธรรมดา ดังนั้นค่อยจัดตั้งบริษัทเมื่อรายได้เราถึงใน ณ จุดนึงแล้วจะดีกว่า
สรุปรีวิวหนังสือ Solopreneur ฉันนี่แหละประธานบริษัท อ่านแล้วได้อะไร เหมาะกับใคร

เหมาะกับคนที่จะเริ่มคิดว่าเราจะเริ่มทำธุรกิจดีไหม และเหมาะกับคนที่กำลังอยู่บนทางแยก ในขณะที่ทำงานประจำอยู่และรับงานเสริมไปด้วย เพื่อดูว่าเราพร้อมหรือยัง ถ้ายังไม่พร้อมจะต้องทำอะไรบ้าง เพื่อให้ธุรกิจคนเดียวสามารถดำเนินไปได้อย่างไม่มีสะดุด
รวมไปถึงเหมาะกับคนที่เป็นฟรีแลนซ์และทำธุรกิจอยู่แล้ว ที่จะอัปเกรดตัวเองเป็นธุรกิจคนเดียวได้อย่างมั่นใจ เพราะหนังสือ Solopreneur ฉันนี่แหละประธานบริษัท มีข้อมูลมากมายนี่สามารถนำไปใช้ได้จริง ตั้งแต่เริ่มต้น การหาลูกค้า การทำการตลาด การบริการและการเงิน หวังว่าคนที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้จะมีกำลังใจในการเริ่มต้นธุรกิจคนเดียว เหมือนที่ผู้เขียนกำลังมีอยู่ในตอนนี้ เป็นกำลังใจให้กับผู้ที่เริ่มทำธุรกิจคนเดียวทุกคนครับ