รีวิว Things 3 สำหรับใครที่ชื่นชอบในการจัดระเบียบ หรือมีเป้าหมายในแต่ละวันบ่อย ๆ แอปพลิเคชันที่จำเป็นต้องมีติดมือถือไว้ คงจะหนีไม่พ้นแอปพลิเคชันจำพวก To-Do-List หรือ Task Manager ที่จะช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น ทาง rabbitor.net เลยจะมารีวิว Things 3 แอปฯสำหรับ To-Do-List ระดับพรีเมี่ยม
อ่านรีวิวส่วนที่ต้องการ
Interface ของ Things 3 เป็นอย่างไรบ้าง
ด้านการออกแบบดีไซน์ของ Things 3 นั้น ทำออกมาได้ดูเรียบง่าย ดูคลีน สะอาด ไม่รก ใช้งานง่าย เพราะมีแค่ปุ่มอยู่ไม่กี่ปุ่มเท่านั้น ในการสร้าง Task เมื่อกดแล้วก็จะเป็นการสร้าง List ได้ทันที เป็นหัวข้อใหญ่ จากนั้นก็จะมีโน้ตย่อย โดยเราสามารถใส่ข้อความที่ต้องการได้ ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีเช็คลิสต์ย่อยเพื่อให้ใส่เพิ่มได้ และยังมี Tags เพื่อแบ่งหมวดหมู่แบบง่าย เราสามารถปรับแต่งได้ รวมถึงมีการให้เลือกวันที่ ว่าเราจะจัดการ To-Do-List นี้ให้เสร็จในวันไหนด้วย อีกทั้งเรายังสามารถกดเพื่อค้นหา Task ก่อน ๆ โดยใช้คีย์เวิร์ดได้
ทั้งหมดนี้ดูเรียบง่ายมาก ไม่มีความซับซ้อนใด ๆ เราสามารถสร้าง List ได้อย่างรวดเร็ว และยังมี Light, Dark และ Black Mode ที่เปลี่ยน Theme ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อความสบายตาในขณะใช้งานด้วย
ฟีเจอร์เด่นสำหรับ Things 3
ฟีเจอร์สำหรับ Things 3 มีหลากหลายมาก แต่ว่าทางจะหยิบมาสัก 7 ฟีเจอร์ด้วยกัน
- Inbox คิดอะไรไม่ออก ก็มาใส่ที่นี่
เหมือนอีเมลเป๊ะ Inbox คือรวมของ To-do-list ที่เราต้องทำ แต่ถ้าเราสร้าง To-do-list ไว้ที่ Section อื่น ก็จะไม่เจอในนี้ เหมาะกับการทำ To-do-list แบบวันต่อวัน - Today วันนี้เราต้องทำอะไรบ้าง
สำหรับ Section นี้ก็จะรวมทุกอย่างที่ต้องให้จบภายในวันนี้ เราสามารถสร้าง To-do-list ในนี้ได้ และถ้าเราตั้งค่าให้แสดง Calendar ก็จะดึงข้อมูลของ Calendar เข้ามาด้วย ทำให้เราไม่พลาดสิ่งที่เราต้องทำในวันนี้ โดยเราสามารถตั้งค่าเพื่อดึง Calendar มาโชว์ได้ที่ Settings > Calendar Events > เลือก Calendar ที่เราต้องการใช้มาโชว์ได้ - Upcoming ต่อจากนี้มีอะไร
อันนี้จะเรียงตามลำดับวัน โดยรวม Events จากใน Calendar ของเรา ผสานกับ To do list ที่เราสร้างขึ้นมาแล้วกำหนดวันไว้ ทำให้เรารู้ว่าในวันถัดไป มีอะไรที่เราต้องทำบ้าง ทำให้เราวางแผนด้านระยะเวลาได้ง่ายขึ้น - Anytime เมื่อไรก็ได้ ไม่รีบ
สำหรับ To do list ที่ไม่รีบ ทำเมื่อไรก็ได้ เช่นการซื้อของ ซื้อสินค้าบางอย่าง ไม่จำเป็นต้องกำหนดเวลา ไม่รีบนัก ก็สามารถสร้างไว้ใน Section นี้ - Someday สักวันนึงจะต้องทำให้ได้
คล้ายกับ Anytime แต่ถ้าเป็น Someday อาจจะเป็นเป้าหมายระยะยาว เช่นการท่องเที่ยวในสถานที่ที่อยากจะไป งานอดิเรกบางอย่างที่ต้องทำ หนังสือที่ต้องการจะอ่าน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะไปปรับใช้กับอะไร - จัดกลุ่มแบบ Project และ Area
อธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า Project คือการจัดกลุ่ม To-Do-List หลายอันที่อยู่กระจัดกระจายให้เป็นกลุ่มเดียวกัน ส่วน Area จะใหญ่กว่า Project เราสามารถใส่ได้หลาย Project เช่นเราสร้าง Area ท่องเที่ยวเชียงใหม่ ใน Area ก็จะมี Project ที่ 1 เป็นการจองตั๋วเครื่องบิน Project ที่ 2 เป็นของที่เราต้องเตรียมเพื่อเอาไปท่องเที่ยว ทำให้การจัดกลุ่ม To-Do-List ไม่ปะปนกันด้วย - เคลื่อนย้ายแบบ Drag and Drop และมีระบบ Tags ให้ใช้งาน
ถ้าเราต้องการย้าย To-Do-List การทำที่ง่ายที่สุดคือใช้ระบบ Drag and Drop กดค้างไว้แล้วเลื่อนไปมา หรือเลื่อนขวาเพื่อเพิ่มวัน Due Date เลื่อนซ้ายเพื่อเข้าถึงการลงฟีเจอร์อื่น การย้าย ทำซ้ำ หรือแก้ไขได้ง่าย สุดท้ายคือมีการเพิ่ม Tags ของแต่ละ To-Do-List ได้ด้วย ง่ายต่อการค้นหามาก
จุดเด่นและจุดที่ควรพิจารณาของ Things 3

แน่นอนว่ารีวิวมาซะขนาดนี้ ก็ต้องมี จุดเด่น และจุดที่ควรพิจารณาเพิ่มเติมของ Things 3 ก่อนที่เราจะเสียเงินซื้อนั้น ว่ามีอะไรบ้าง
จุดเด่น รีวิว Things 3
- การออกแบบดูเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ใช้งานง่าย
เข้ามาปุ๊บ ทุกอย่างดูเหมือนง่ายไปหมด แค่กดเพิ่ม To do list แล้วก็พิมพ์อะไรนิดหน่อย ไม่จำเป็นต้องใส่ทุกอย่างให้ครบ ก็สามารถสร้าง Task ได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งมีการจัดกลุ่มแบบที่ทุกคนเข้าใจได้ง่าย ทั้งสิ่งที่ต้องทำวันนี้ หรือ Someday สักวันหนึ่งเราจะทำ หรือ Anytime ที่เริ่มเมื่อไรก็ได้ ทำให้เราจัดลำดับความสำคัญได้สูงสุด อีกทั้งยังเป็นระบบ Drag and Drop ลาก To do list ย้ายไปย้ายมาได้ทันที
- สามารถแสดงนัดหมายต่าง ๆ กับ Calendar ได้
Things 3 สามารถดึง Calendar นัดหมายต่าง ๆ มาแสดงได้โดยรวมกับ Things 3 ในที่เดียว ทำให้เราไม่ต้องวุ่นวายที่จะต้องสลับแอปไปมา (แต่ถ้าต้องการแก้ไข Calendar โดยตรงก็ต้องเข้าแอป Calendar อยู่ดี)
- แยก To Do List เป็นโปรเจ็กต์ จัดกลุ่มได้ และมี Tags ด้วย
เป็นสิ่งที่โดดเด่นที่สุดของ Things 3 เลยก็ว่าได้ เราสามารถสร้างแบ่งออกเป็น Project ได้ และแต่ละใน Project ก็จะมี To do list ย่อยแยกออกไปอีก หรือถ้าต้องการสร้างเป็น Area ใหม่เลยก็สามารถทำได้เช่นกัน (Area จะใหญ่กว่า Project) ซึ่งส่วนของ Area ก็จะมีหลายโปรเจ็กต์ซ้อนกันอยู่
จุดควรพิจารณา Things 3
- ปัจจุบันรองรับเฉพาะ Apple Device เท่านั้น
เสียใจสำหรับผู้ใช้งาน Android และ Windows ด้วย เนื่องจากว่า Things 3 สามารถใช้งานได้เฉพาะ iOS, iPadOS, macOS และ watchOS เท่านั้น ยังไม่มีการให้ใช้งานผ่านเว็บหรือระบบปฏิบัติการอื่นทั้งแอนดรอยด์หรือวินโดวส์แต่อย่างใด
- ยังไม่รองรับการจ่ายเงินแบบ Subscription ต้องซื้อขาดอย่างเดียวเท่านั้น
อันนี้จะบอกว่าเป็นได้ทั้งจุดเด่นและจุดด้อย เพราะเหมือนกับว่าเราซื้อขาดเพียงครั้งเดียว ไม่จำเป็นต้องจ่ายรายเดือนเลย แต่ว่าถ้าเราต้องการใช้งาน Things 3 ในหลายประเภทของ Apple Device เราก็ต้องจ่ายเพื่อซื้อแอปอีกครั้ง เช่น ถ้าเราซื้อ Things 3 บน iOS สำหรับ iPhone แล้ว และต้องการใช้งาน Things 3 บน Mac ด้วย เราก็ต้องจ่ายเงินอีกครั้งเพื่อซื้อ Things 3 สำหรับ Mac และราคาของแต่ละประเภท Device ก็ไม่เท่ากันด้วย
- การทำงานร่วมกัน แชร์ Tasks หรือ Collaboration ไม่สามารถทำได้
เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณามาก ๆ เนื่องจากว่า Things 3 เอง ไม่สามารถที่จะแชร์เป็นบาง To Do List หรือให้สามารถทำงานร่วมกันได้เลย สิ่งที่จะทำได้มีเพียงแค่ใช้ Things Cloud ร่วมกันเท่านั้น แต่ก็ถือว่าไม่ได้ตอบโจทย์อย่างแท้จริง สำหรับคนที่คิดจะเน้นใช้งาน หรือทำงานร่วมกัน อาจต้องพิจารณาตัวอื่นแทน
รีวิว Things 3 ดาวน์โหลดได้ที่ไหน และราคาเท่าไร
Things 3 มีให้ดาวน์โหลดเฉพาะบน Apple Device เท่านั้น ซึ่งเป็นการซื้อขาดในแต่ประเภทของ Device เลย เช่น ถ้าเราซื้อแอป Things 3 บน iPhone แล้วต้องการใช้งานบน Mac ด้วย คุณก็ต้องซื้อ Things 3 อีกครั้งบน Mac โดยราคาของ Things 3 แต่ละ Device เป็นดังนี้
- Things 3 สำหรับ iPhone ราคา 349 บาท
- Things 3 สำหรับ iPad ราคา 599 บาท
- Things 3 สำหรับ Mac ราคา 1,600 บาท
ส่วน Things 3 บน Apple Watch สามารถใช้งานได้ถ้าเราได้ฟรี โดยใช้ Things Cloud ร่วมกับ Things 3 บน iPhone อื่น ๆ
รีวิว Things 3 เหมาะกับใคร
ถ้าได้อ่านจุดเด่นจุดด้อยกันไปแล้ว สิ่งที่คิดมาครั้งแรกเลยว่า Things 3 เหมาะกับการทำงานแบบส่วนบุคคลมาก ๆ เช่นการทำ To-Do-List รายวัน งานที่เราต้องทำในส่วนของเรา การลิสต์เพื่อซื้อของในซุปเปอร์ ลิสต์การท่องเที่ยวในระยะยาวว่าจะไปที่ไหนบ้าง การทำ New Year Resolution ซึ่งทั้งหมดนี้เราไม่จำเป็นต้องแชร์ให้ทำงานร่วมกัน จึงเป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์กับการเพิ่ม Productive สำหรับเรื่องส่วนตัวมาก
แต่ Things 3 เมื่อพิจารณาดี ๆ แล้วก็อาจไม่เหมาะกับการทำงานร่วมกัน เพราะว่ามีข้อจำกัดของแอปพลิเคชันเอง ที่ยังไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ และยังมีข้อจำกัดที่ใช้ได้แค่เพียง Apple Device เท่านั้น
โดยสรุปแล้ว Things 3 ค่อนข้างเหมาะกับผู้ที่ชอบการทำ To-Do-List เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และต้องการมองหาแอปพลิเคชัน To-Do-List ที่ออกแบบมาอย่างเข้าใจผู้ใช้ แบบใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน ผู้ใช้มือใหม่ หรือผู้ที่ต้องการเข้าวงการ To-Do-List เพื่อเพิ่มความ Productive นับว่า Things 3 เป็นแอปพลิเคชันที่เหมาะมากเช่นกัน