เลือกบัตรเครดิต Cash Back เน้นเงินคืน หรือบัตรเครดิตสะสมแต้ม แบบไหนดีกว่ากัน สำหรับมือใหม่เริ่มสมัครบัตรเครดิต อาจจะมีความสับสนอยู่บ้างว่าบัตรเครดิตแบบเงินคืนกับแบบสะสมแต้ม เราจะสมัครบัตรใบไหน และเลือกอย่างไรดี ทาง rabbitor.net มีคำตอบให้
*ใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16%
เลือกบัตรเครดิต แบบเงินคืน Cash Back หรือว่าสะสมแต้มแบบไหนดีกว่ากัน
ทำความรู้จักกับบัตรเครดิต เน้นเงินคืน หรือแคชแบ็ค (Cash Back) กันก่อน
เลือกบัตรเครดิต แบบเงินคืนนั้น คือการที่ทางเจ้าของบัตรได้กำหนดไว้ว่า เมื่อมีการใช้จ่าย แล้วจะให้เงินคืนกี่ % ซึ่งในไทยนั้นบัตรเครดิตเงินคืนที่เป็นที่นิยม เรียกได้ว่าเป็นเงินคืนมาตรฐานนั่นคือ 1% เป็นหลัก แต่ก็แน่นอนว่ามีบางบัตรที่จะให้เงินคืนน้อยกว่านี้ หรือบางบัตรก็จะให้มากกว่านี้ในหมวดพิเศษต่าง ๆ ซึ่งก็ต้องมาดูเป็นบางบัตรไป และบัตรเครดิตแบบเงินคืนจะไม่มีแต้มให้ เรามาดูกันว่าตัวอย่างของบัตรเครดิตเงินคืนมีบัตรอะไรบ้าง
- UOB YOLO Platinum
- UOB One
- UOB TMRW
- AEON Next Gen
- CardX Family Plus (SCB)
- ttb So Smart
- Kbank Titanium
- BBL Titanium
- KTC Cash Back
จุดเด่นของบัตรเครดิตแคชแบ็ค รับเงินคืน
- รับเป็นเครดิตเงินคืนเข้าบัตร ไม่ก็รับเป็นเงินคืนเข้าบัญชี
บัตรเครดิตที่เน้นเงินคืน มักจะคืนเงินเป็น 2 กรณีใหญ่ ๆ นั่นคือกรณีแรกนิยมมากที่สุดคุงจะเป็นการคืนเงินในรูปแบบคืนเงินเข้าบัตรโดยตรง เช่นเมื่อเรามียอดรูดไป 10,000 บาท คืนเงิน 1% เท่ากับ 100 บาท ยอดที่คืนเงินนั้นตะคืนเงิน 100 บาท ซึ่งถ้าคืนเงินทันในรอบบัตร ก็จะหักลบยอดรูดออกไป ซึ่งการคืนเงินในรูปแบบนี้สะดวกตรงเจ้าของบัตรแทบจะไม่ต้องทำอะไรเป็นพิเศษ แค่อาจจะต้องเช็ครายการว่ามีเงินคืนเข้ามาหรือไม่
ส่วนการคืนเงินแบบที่ 2 คือการคืนเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์ ซึ่งเท่าที่เห็นจะมีเพียง ttb So Smart ที่ใช้ระบบนี้ ข้อดีคือเราสามารถเก็บสะสมเงินคืนเรื่อย ๆ ในบัญชีได้ แต่มีความยุ่งยากกว่าเล็กน้อยคือเราก็จำเป็นที่จะต้องมีบัญชีออมทรัพย์ร่วมด้วยนั่นเอง
- ผลอัตราตอบแทนบัตรแคชแบ็ค มักจะสูงกว่าแบบสะสมแต้ม (แบบไม่ได้มีโปรโมชั่น)
การคิดอัตราผลตอบแทนบัตรเครดิต ของแบบแต้ม สูตรคือ [(คะแนนที่ได้รับ/ค่าใช้จ่ายผ่านบัตร บาท)*(จำนวนที่แลกเงินคืน/คะแนนที่ต้องใช้)]*100 = อัตราผลตอบแทน ถ้าใช้สูตรนี้ บัตรที่ให้คะแนนปกติ 25 บาทเท่ากับ 1 แต้ม และใช้ 1,000 แต้ม แลกคะแนน ได้เงินคืน 100 บาท จะได้อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 0.4% เท่านั้น แต่เมื่อเทียบกับผลอัตราตอบแทนบัตรเครดิตแบบเงินคืน ที่มีมาตรฐานเงินคืนที่ 1% จะเห็นได้ว่าบัตรเครดิตแบบเงินคืนนั้นได้อัตราผลตอบแทนสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด - เหมาะกับคนที่ไม่ต้องการสะสมแต้ม เน้นง่าย ๆ ได้เงินคืนเข้าบัตร
เหมาะกับคนที่มีไลฟ์สไตล์ที่ไม่ต้องการความยุ่งยากหรือปวดหัวกับการแลกแต้ม เน้นความสบายง่าย ๆ แบบคืนเงิน อาจจะมีบางหมวดที่คืนเงินให้มากกว่าปกติด้วย สามารถใช้งานได้หลากหลาย เพราะถ้าเป็นบัตรเครดิตแบบสะสมแต้มจะมีความซับซ้อนและลูกเล่นมากกว่าในการแลกแต้ม
จุดด้อยของบัตรเครดิตเงินคืน
- เป็นบัตรที่ไม่มีแต้มให้ ไม่สามารถสะสมแต้มได้
บัตรเครดิตแบบเงินคืนนั้น จะไม่มีการให้แต้มเลย ดังนั้นหมดโอกาสที่จะสะสมแต้ม ต้องเล่นด้านเงินคืนเพียงอย่างเดียว และในบางช่วงเวลา อาจจะมีโปรเสริมสำหรับทุกบัตร ที่ได้แต้มคูณหลายเท่า แน่นอนว่าบัตรเครดิตแบบเงินคืนก็อาจจะไม่ได้เข้าร่วมในโปร หรือถ้าได้เข้าร่วมก็อาจจะได้เงินคืนที่มากขึ้นบ้างเท่านั้น - บางบัตรมียอดจำกัดในการให้เครดิตเงินคืน
การให้เงินคืนนั้นจริง ๆ ก็คล้าย ๆ กับบัตรเครดิตแบบมีแต้ม มีการจำกัดยอดที่ให้เงินคืน ว่าจะให้สูงสุดที่เท่าไรในแต่ละรอบบัญชี ซึ่งส่วนมากจะเป็นยอดที่ให้เงินคืนค่อนข้างสูงอยู่แล้ว ยกเว้นแต่พวกที่ให้เครดิตเงินคืนสูง ๆ บางหมวด แล้วจำกัดยอดที่ให้เงินคืนแบบน้อยมาก ถึงเราจะรูดเยอะ ก็อาจจะพลาดตรงนี้ได้ ก็ต้องดูเงื่อนไขการให้เงินคืนให้ดีในแต่ละบัตร - ผลประโยชน์ไม่ค่อยเป็นก้อน ค่อนข้างกระจาย
พอการคืนเงินจะเป็นยอดทีละเล็กละน้อย แล้วเงินคืนก็จะไปหักลบกับยอดใช้ในบัตรก่อนหน้า เลยกลายเป็นว่าทำให้ผลประโยชน์สำหรับบัตรเครดิตเงินคืนนั้นดูไม่ค่อยเป็นก้อน เหมือนกับบัตรเครดิตที่สะสมแต้มได้ เพราะการสะสมแต้มมักจะมีเรื่องของระยะเวลามาเกี่ยวข้อง บัตรที่สะสมแต้มได้ก็จะได้เปรียบตรงนี้ เพราะสะสมแต้มได้เยอะ ๆ ก็จะกลายเป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่ดูแล้วได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากกว่าบัตรเครดิตแบบเงินคืนนั่นเอง
บัตรเครดิตสะสมแต้ม มีลักษณะเป็นอย่างไรบ้าง ต่างจากบัตรเครดิตเงินคืนแค่ไหน
สิ่งที่ชัดเจนมากที่สุด บัตรเครดิตสะสมแต้ม คือมีแต้มให้ ทาง rabbitor จะถือว่าเป็นบัตรเครดิตสะสมแต้มทั้งหมด ซึ่งบัตรเครดิตแบบสะสมแต้มมักจะมีลูกเล่นแพรวพราว สิทธิประโยชน์ที่เหนือกว่าบัตรเครดิตแคชแบ็คเล็กน้อย ลองมาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
จุดเด่นของบัตรเครดิตสะสมแต้มเป็นอย่างไร
- สะสมแต้มเพื่อแลกรับรางวัลได้หลากหลายกว่าแบบแคชแบ็ค
สิ่งที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัดคือ การสะสมแต้มเพื่อรับการแลกรางวัลได้หลากหลายกว่า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าต่าง ๆ ที่มักจะมีแคตตาล็อกให้แลกได้เมื่อสะสมแต้มถึง การแลกเป็นเงินคืน การใช้แต้มเป็นส่วนลดหรือเงินคืนในร้านอาหารต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งการแลกไมล์สายการบิน ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เหนือกว่าบัตรเครดิตแบบเงินคืนอย่างเห็นได้ชัด เพราะบัตรเครดิตแบบเงินคืนก็จะได้แต่เงินคืนเท่านั้น - สะสมแต้มเพื่อแลกรางวัลชิ้นใหญ่ได้ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการสะสมและใช้จ่าย
แต้มนั้นมีระยะเวลาที่ให้สะสมได้ บางบัตรเครดิตมีระยะเวลาตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป หรือบางบัตรก็คะแนนไม่มีวันหมดอายุก็มี พอเราสามารถสะสมแต้มได้ ก็สะสมตามระยะเวลาของแต้มที่สะสมได้ จนกระทั่งเมื่อได้แต้มตามจำนวนที่ต้องการแล้วค่อยแลกของรางวัลตามที่ต้องการ ซึ่งทำให้การแลกของรางวัลจากแต้มนั้นดูเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากกว่าแบบบัตรเครดิตแบบแคชแบ็คนั่นเอง - แต้มบางค่ายสามารถโอนย้ายไปมาได้
ระบบ Loyalty Program เป็นระบบ CRM อย่างหนึ่งเพื่อให้ลูกค้าอยู่กับบัตรไปนาน ๆ ซึ่งแต้มบางค่าย บัตรเครดิตก็มีความยืดหยุ่นมาก สามารถแลกแต้มไปยังแต้มของบริการอื่น ๆ ได้ อย่างที่เห็นได้ชัดเช่น UOB Rewards สามารถย้ายแต้มไปยัง Central T1 ได้ ซึ่งจำนวนการแลกแต้มนั้นก็ขึ้นอยู่โปรโมชั่นและระยะเวลา บางทีการย้ายแต้มไปอีกที่ มูลค่าผลอัตราตอบแทนก็อาจจะมากขึ้นด้วย แนะนำว่าต้องลองศึกษาแต่ละบัตรดูว่าแต้มของบัตรที่เราถืออยู่ ย้ายไปยังค่ายอื่นได้เท่าไร และย้ายไปยังค่ายไหนได้บ้าง - ลูกเล่นเยอะ บางบัตรสะสมแต้มได้ แต่เด่นด้านเงินคืนก็มี
อย่างที่กล่าวไปว่าบัตรเครดิตแบบสะสมแต้มจะมีลูกเล่นที่เยอะกว่า บัตรเครดิตที่สะสมแต้ม แต่เด่นด้านเงินคืนก็มี อย่างเช่นบัตรเครดิตเฟิร์สช้อย (Krungsri First Choice) ที่ในแต่ละไตรมาสนั้นก็จะมีโปรเงินคืนแรงมาก เรียกได้ว่าเงินคืนแรงกว่าบัตรเครดิตแบบสะสมแต้มเสียอีก และอย่าลืมว่าการรูดนอกเหนือจะได้เงินคืนแล้ว ก็ยังได้แต้มเพื่อสะสมแลกเป็นอย่างอื่นได้อีก ทำให้อัตราผลตอบแทนบัตรเครดิตใบนี้อาจจะเหนือกว่าบัตรแคชแบ็คทั่วไปด้วย - ในบางครั้งใช้แต้มน้อยกว่าปกติในการแลก หรือได้คะแนนเพิ่มหลายเท่า ขึ้นอยู่กับช่วงโปรโมชั่น
แต้มบางค่ายก็อาจจะกำหนดไว้ว่า 25 บาท= 1 แต้ม แต่ถ้าเป็นช่วงที่อัดโปรโมชั่นเยอะ ๆ อาจจะมีคะแนนคูณ หรือบัตรเครดิต UOB Premier ที่จะได้แต้มเพิ่ม 4 เท่าเมื่อรูดในส่วนห้างสรรพสินค้า Department Store ส่วนเรื่องของคะแนนที่ใช้แลกเงินคืนนั้น ยกตัวอย่างเช่น Central T1 ที่ปกติแล้วจะแลกได้ที่ 800 คะแนน = 100 บาท แต่เมื่อเป็นช่วงเซลล์ อาจจะมีให้แลกคูปองต่าง ๆ ที่ใช้คะแนนเพียง 600 คะแนน แต่แลกได้ 100 บาทก็มี
จุดอ่อนของบัตรเครดิตสะสมแต้ม
- ผลอัตราตอบแทนบัตรเครดิต มักจะต่ำกว่าแบบเงินคืน (ถ้าไม่นับคะแนนคูณหรือช่วงแจกแต้ม)
จุดอ่อนแรกเลยคือการที่บัตรเครดิตแบบสะสมแต้มนั้น ถ้าไม่มีการได้คะแนนคูณเลย หรือไม่ได้มีโปรอื่นเลย ส่วนมากก็จะได้คะแนนที่ 25 บาท ได้คะแนน 1 แต้ม หรืออย่างดีก็ 20 บาท ได้คะแนน 1 แต้ม เมื่อเทียบเป็นอัตราผลตอบแทนบัตรเครดิตแล้วจะอยู่ที่ 0.4%-0.5% เท่านั้น จะเห็นได้เลยว่าบัตรเครดิตแบบเงินคืนจะให้มากกว่าเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว - แต้มเยอะหรือแต้มน้อยไม่สำคัญ ให้ดูที่อัตราผลตอบแทนบัตรเครดิต บางบัตรดูให้แต้มเยอะ แต่อัตราผลตอบแทนแทบไม่ต่าง
บางบัตรดูให้แต้มเป็นเลขจำนวนมาก อาจทำให้เราหลงได้ว่าดูแต้มเยอะ แต่ใจความเป็นจริงแล้วก็แทบจะไม่ต่างจากบัตรใบอื่น ยกตัวอย่างเช่น ttb so fast เป็นบัตรเครดิต ที่ให้คะแนน 1 คะแนน ทุกยอดใช้จ่าย 10 บาท โดยสามารถแลกเป็นเครดิตเงินคืนได้ คือทุก 7,500 คะแนน แลกได้ 500 บาท พอลองคิดเป็นอัตราผลตอบแทนบัตรเครดิต จะได้อยู่ที่ 0.66% ก็ถือว่าดีกว่าบัตรสะสมคะแนนใบอื่นเล็กน้อย แต่ก็ยังด้อยกว่าบัตรเครดิตเงินคืนที่ให้โดยปกติอยู่ที่ 1% ดังนั้น ก็ต้องสังเกตดี ๆ ว่าบัตรที่ให้คะแนนเยอะ ๆ ต้องมาคิดเป็นอัตราผลตอบแทนบัตรเครดิตก่อน - แต้มบางบัตรมีหมดอายุ ต้องคอยเช็คให้ดี
บางบัตรก็จะมีอายุคะแนนสะสมที่แตกต่างกันออกไป จนกระทั่งคะแนนไม่มีหมดอายุ แน่นอนว่าบางบัตรจะมีความพิเศษถ้าเป็นสถานะบัตรหรือมียอดซื้อที่สูงขึ้น คะแนนสะสมก็จะไม่มีวันหมดอายุตาม ซึ่งจะเห็นว่าคะแนนสะสมนั้นจะเริ่มหมดอายุก็คือ 2 ปี ขึ้นไป จนกระทั่ง 3 ปี 4 ปี ไปถึงไม่มีวันหมดอายุ อันนี้ก็ต้องตรวจสอบกันเอาว่าบัตรที่เราถือนั้นมีกี่คะแนนแล้ว และคะแนนจะหมดเมื่อไร เพื่อไม่ให้คะแนนสูญเปล่านั่นเอง
สรุป เลือกบัตรเครดิต แบบไหนดี บัตรเครดิตสะสมแต้ม หรือบัตรเครดิตเงินคืน และเหมาะกับใคร
ถ้าให้สรุปแบบง่าย ๆ เลยคือ มือใหม่ใช้บัตรเครดิต คนที่ไม่ต้องการความซับซ้อนของการแลกคะแนน คนที่เน้นความเรียบง่าย แนะนำเลยว่าให้ใช้บัตรเครดิตแบบเงินคืน เพราะว่าตอบโจทย์ทั้งหมด เราแทบไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะเงินคืนที่ได้มาก็จะเข้าบัตรอัตโนมัติ แล้วไปหักลบกับยอดค่าใช้จ่ายที่มีอยู่ ทำให้เรามียอดใช้จ่ายลดลงด้วย
แต่ใครที่ต้องการแลกอะไรที่เป็นกอบเป็นกำ แลกของรางวัลชิ้นใหญ่ แลกส่วนลดเยอะ ๆ หรือแม้กระทั่งแลกไมล์ ก็ต้องมามองและมาใช้บัตรเครดิตแบบสะสมแต้มแทน เรียกว่าบัตรเครดิตสะสมแต้มเหมาะกับคนที่เริ่มใช้จ่ายเยอะขึ้น หรือมือเก๋าและเริ่มใช้งานบัตรเครดิตมาสักระยะหนึ่งแล้ว
แต่ในความเป็นจริง ก็สามารถใช้ควบคู่กันไปได้ ทั้งบัตรเครดิตแบบสะสมแต้ม และบัตรเครดิตแบบเงินคืน ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเราก็ได้ ใครที่เป็นสายต้องการรีดผลประโยชน์สูงสุดจากบัตรเครดิต ก็จะถือไว้ทั้งสองแบบก็ไม่ใช่ปัญหา
*ใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16%